รายงานพิเศษ  :
ดูชัดๆ ...ร่างกฎหมายเปิดทรัพย์สินพระ

การเสนอร่าง กม.เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินวัดและพระ และร่าง กม. ที่ให้มีองค์กรขึ้นมา
ตีความพระธรรมวินัยกำลังมาแรงและเป็นเรื่องร้อนในหมู่สงฆ์

              การเสนอ   ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินวัดและ
พระภิกษุ
  และ  ร่าง พ.ร.บ. สภาพุทธบริษัทแห่งชาติ   ของนายไพบูลย์ นิติ
ตะวัน  อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการ
พระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ  ต่อนายกรัฐมนตรี และประธานสภานิติบัญญัติ
แห่งชาติ  เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา กำลังมาแรงและเป็นเรื่องร้อนในหมู่พระสงฆ์อยู่ในขณะนี้   

              มาเริ่มกันที่ ร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินวัดและพระภิกษุ  ซึ่งมีหลักการ
และเหตุผล เพื่อให้การจัดการทรัพย์สินของวัด และทรัพย์สินของพระภิกษุเป็นไปอย่าง
เหมาะสม มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับหลักพระธรรมวินัย

              โดยประเด็นแรก  ในเรื่องการจัดการทรัพย์สินของวัด  นั้น  ร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการ
จัดการทรัพย์สินวัดและพระภิกษุ  ได้กำหนดให้แต่ละวัด มี  “ คณะกรรมการจัดการ
ทรัพย์สินของวัด
”    และคณะกรรมการจัดการทรัพย์สินฯ ต้องจัดทำงบบัญชีทรัพย์สินของ
วัดตามหลักการบัญชีตามมาตรฐานสากล โดยอย่างน้อยต้องประกอบด้วย งบแสดงฐานะทาง
การเงิน, งบรายได้ค่าใช้จ่ายและงบกระแสเงินสดทั้งรายเดือนและรายปี  ผ่านการตรวจสอบ
บัญชีจากผู้ที่ได้รับใบอนุญาตรับรอง  ทั้งนี้ทรัพย์สินของวัดให้หมายความรวมถึง ทรัพย์สินของ
มูลนิธิหรือองค์การที่จัดตั้งขึ้นโดยวัดหรือเกี่ยวเนื่องกับวัดด้วย

          นอกจากนี้ “ คณะกรรมการจัดการทรัพย์สินของวัด” จะต้องส่งงบบัญชีให้ “ สำนักงาน
พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ” และสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ  ต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน
ต่อสาธารณชนในท้องที่ซึ่งวัดนั้นตั้งอยู่

            ประเด็นที่สอง  การจัดการทรัพย์สินของพระภิกษุ  ร่าง กม.ฉบับนี้ กำหนดว่า  ทรัพย์สิน
ของพระภิกษุที่ได้มาในระหว่างที่อยู่ใน“ สมณเพศ” ให้ถือเป็นทรัพย์สินของวัดที่พระภิกษุนั้น
สังกัดอยู่

            และเมื่อพระภิกษุรูปนั้นพ้นจากความเป็นพระภิกษุหรือมรณภาพ ให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็น
ทรัพย์สินของวัดที่พระภิกษุนั้นสังกัดอยู่ รวมทั้งพระภิกษุต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินที่พระรูปนั้น
ได้รับให้คณะกรรมการจัดการทรัพย์สินของวัดที่ตนสังกัดอยู่ทราบทุกปี (ปัจจุบันทรัพย์สินที่
พระภิกษุรูปใดได้รับในขณะบวชเป็นพระอยู่ พระรูปนั้นสามารถนำทรัพย์สินที่ได้รับไปจำหน่าย
จ่ายโอน หรือทำพินัยกรรมยกให้บุคคลใดก็ได้)  ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันการบริหารจัดการ
ทรัพย์สินของวัดในบางวัดดำเนินการโดยเจ้าอาวาสรูปเดียว ไม่เปิดเผย ไม่โปร่งใส ตรวจสอบ
ไม่ได้ เป็นช่องทางให้มีการนำทรัพย์สินของวัดไปใช้ในทางมิชอบ ส่วนพระภิกษุ ก็มีจำนวนไม่
น้อย ที่นำเงิน ทรัพย์สินที่มีผู้ทำบุญ บริจาคให้ นำไปใช้ส่วนตัว

         ' ที่ผมเสนอ  ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินวัดและพระภิกษุ ก็เพื่อให้การจัดการ
ทรัพย์สินของวัดและทรัพย์สินของพระภิกษุเป็นไปอย่างเหมาะสม มีการเปิดรายการทรัพย์สินวัด
พระภิกษุสงฆ์ มีการทำบัญชีราชการทรัพย์สินอย่างเป็นระบบ ซึ่งวัดเป็นนิติบุคคลเช่นเดียวกับ
บริษัทเอกชน กระทรวง มูลนิธิ องค์กรต่างๆ ซึ่งองค์กรเหล่านี้จะต้องมีการทำบัญชีทรัพย์สินตาม
มาตราฐานบัญชี วัดก็เช่นกัน เมื่อทำบัญชีแล้วก็ต้องมีผู้สอบสอบบัญชีมาตรวจสอบและสามารถ
เปิดเผยได้ ที่ผ่านมาไม่มีใครรู้ว่า ว่าวัดและพระภิกษุสงฆ์มีเงินและทรัพย์สินเท่าไร ทรัพย์สิน
เหล่านั้นเป็นของวัดหรือทรัพย์สินส่วนตัวของพระ บางครั้งก็มีการยักยอกเงินวัดเป็นทรัพย์สิน
ของตนเอง ซึ่งการทำบัญชีนี้จะทำให้ทรัพย์สินของวัดไม่รั่วไหล ตรวสอบได้ นอกจากนี้
ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาในระหว่างอยู่ในสมณเพศให้ถือเป็นของวัดแต่สามารถใช้จ่าย
ทรัพย์สินดังกล่าวได้ตามสมควรและเกี่ยวกับศาสนกิจเท่านั้นจะนำไปให้ญาต ไปซื้อรถซื้อบ้าน
ไม่ได้ ซึ่งต้องทำบัญชีรายงาน และเมื่อพ้นจากความเป็นพระหรือมรณภาพก็ให้ตกเป็นของวัด
เช่นกัน โดยในเรื่องนี้จะมีคณะกรรมการจัดการทรัยพ์สินของวัด มาเป็นผู้ดูแล" ไพบูลย์ กล่าว

            ส่วนร่างกฎหมายอีกฉบับหนึ่ง คือ    ร่าง พ.ร.บ.สภาพุทธบริษัทแห่งชาติ   โดย
ร่าง กม.ฉบับนี้   กำหนดให้มีสภาพุทธบริษัทแห่งชาติ  จำนวนไม่เกิน 36 คน มีวาระการดำรง
ตำแหน่ง 4 ปี โดยสมาชิกสภาฯ มีทั้งพระภิกษุผู้ทรงคุณวุฒิจากธรรมยุตินิกายและมหานิกาย,
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพระธรรมวินัย, อาจารย์ผู้สอนวิชาพระพุทธศาสนา

            ทั้งนี้ “ สภาพุทธบริษัทแห่งชาติ ”  จะเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ตีความพระธรรมวินัย
เพื่อให้เป็นไปตามหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ไม่ให้มีผู้นำคำสอนของพระพุทธเจ้าไป
บิดเบือน   เพราะปัจจุบันมีการบิดเบือนตีความพระธรรมวินัยการทำบุญทำทานผิดจากคำสอน
ของพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยนไปเพื่อมุ่งแต่ลาภสักการะ อาจจะเป็นการหลอกลวงประชาชนให้
หลงเชื่อนำเงินมาบริจาคเป็นธุรกิจหารายได้จำนวนมหาศาล สร้างความเสียหายให้กับหลักการ
ของพระพุทธศาสนา นอกจากนี้“ สภาพุทธบริษัทแห่งชาติ” ยังมีหน้าที่รวบรวมและเผยแพร่พระ
ธรรมวินัยที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องให้แก่ประชาชน 

            โดยสรุป “ สภาพุทธบริษัทแห่งชาติ” จะทำหน้าที่เหมือน คณะกรรมการ
กฤษฎีกา
  ซึ่งเมื่อมีคำวินิจฉัยหรือให้ความเห็นหรือให้คำแนะนำเรื่องใดไปแล้ว หน่วยงานที่
เกี่ยวข้องในเรื่องนั้นๆ ต้องนำไปปฏิบัติ และคำวินิจฉัยสามารถนำไปอ้างอิงเป็นทางการได้   และ
หากร่าง พ.ร.บ.สภาพุทธบริษัทแห่งชาติ ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ออกมาบังคับใช้เป็นกฎหมาย ในทางปฏิบัติ “ สภาพุทธบริษัทแห่งชาติ ” ก็จะมีการตั้ง  “ คณะ
วินัยธร
” ขึ้นมาทำหน้าที่ตัดสินข้อร้องเรียนที่เกี่ยวกับพระสงฆ์ ซึ่งในการวินิจฉัย “ คณะ
วินัยธร”   ก็จะยึดเอาตามการตีความ หรือคำวินิจฉัย หรือความเห็น ที่ “ สภาพุทธบริษัทแห่งชาติ
” ได้เคยให้ไว้ แต่ถ้าเรื่องร้องเรียนนั้นเป็นเรื่องใหม่ “ คณะวินัยธร” ก็จะถามความเห็นไปที่ “ สภา
พุทธบริษัทแห่งชาติ” ซึ่งเมื่อ “ สภาพุทธบริษัทแห่งชาติ ” มีคำนิจฉัยหรือให้ความเห็นว่าอย่างไร
“ คณะวินัยธร”   ก็จะตัดสินไปตามนั้น หาก“ คณะวินัยธร”  ตัดสินว่าพระรูปใดต้องพ้นจากความเป็น
สงฆ์ พระรูปนั้น ยังสามารถอุทธรณ์ต่อ“ คณะวินัยธร” ได้อีกครั้ง แต่ถ้า“ คณะวินัยธร” ยังตัดสิน
ให้พ้นจากความเป็นสงฆ์เหมือนเดิม คำตัดสินของ“ คณะวินัยธร” เป็นที่สุด ดังนั้น“ คณะวินัยธร”
จึงเปรียบเสมือน“ ศาลสงฆ์”  ซึ่งหากฝ่าฝืน ไม่ยอมสึก ก็จะมีความผิดฐานแต่งกายเลียนแบบ
สงฆ์  ซึ่งมีโทษทางอาญา 

            สำหรับร่าง  พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินวัดและพระภิกษุ   แน่นอนว่า วัดและพระ
ที่มีผลประโยชน์มาก มีทรัพย์สินสะสมมาก ย่อมไม่พอใจ  ส่วน ร่าง พ.ร.บ.สภาพุทธบริษัท  ที่มี
การตั้งองค์กรใหม่ขึ้นมาตีความพระธรรมวินัย นั้น ก็อาจถูกตั้งคำถามว่าเป็นใครกัน ที่จะมา
ผูกขาดตีความพระธรรมวินัยคำสอนพระพุทธเจ้า ว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้  

           ต้องจับตาต่อไปว่า เมื่อร่าง กม.ทั้งสองฉบับนี้ ได้มีการเสนอต่อนายก
ฯและประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว จะได้รับการผลักดันต่อเพื่อ
ออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ต่อไปหรือไม่

ทีมา http://www.komchadluek.net/news/scoop/262838#.WLuT93xBC6J.facebook