โรหิตัสสสูตร ที่ ๑

[ ๔๕ ] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตะวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี

ครั้งนั้นแล โรหิตัสสเทวบุตร เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว มีรัศมีงามยิ่งนัก
ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายอภิวาทแล้วยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว

ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัตว์ ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่
ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ ในโอกาสใด หนอแล
พระองค์อาจ หรือ หนอเพื่อจะทรงทราบ
เพื่อจะทรงเห็น หรือเพื่อจะทรงถึงซึ่งที่สุด แห่งโลกด้วยการเสด็จไป

ในโอกาสนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่
ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ
ในโอกาสใดแล เราย่อมไม่กล่าวโอกาสนั้นว่า
เป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึง ด้วยการไปฯ











โร . อัศจรรย์ พระเจ้าข้า สิ่งไม่เคยมีได้มีขึ้น พระเจ้าข้า
เท่าที่พระผู้มีพระภาคตรัสพระดำรัสนี้ว่า
ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่
ย่อมไม่ตายย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ

ในโอกาสใดแล เราย่อมไม่กล่าวโอกาสนั้น
ว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึง ด้วยการไป เป็นอันตรัสดีแล้ว

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้ว
ข้าพระองค์ เป็นฤาษีชื่อโรหิตัสสะ เป็นบุตรนายบ้าน
มีฤทธิ์ไปในอากาศได้ ความเร็วของข้าพระองค์นั้น
เปรียบได้กับนายขมังธนู ผู้มีธนูอันมั่นเหมาะ ศึกษาดีแล้ว
เชี่ยวชาญ เคยแสดงให้ปรากฏแล้ว พึงยิงลูกศรอันเบาให้
ผ่านเงาตาลด้านขวางไปได้ โดยไม่สู้ยาก

ฉะนั้น การยกย่างเท้า แต่ละก้าวของข้าพระองค์
เปรียบด้วยสมุทรด้านตะวันตกไกล จากสมุทรด้านตะวันออก ฉะนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความปรารถนาเห็นปานนี้ว่า
เราจักถึงที่สุดแห่งโลกด้วยการไป เกิดขึ้นแล้วแก่ข้าพระองค์นั้น
ผู้ประกอบด้วยกำลังเร็ว เห็นปานนั้น
และด้วยการยกย่างเท้า เห็นปานนั้น

ข้าพระองค์นั้นแล เว้นจากการกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม
เว้นจากการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เว้นจากการหลับ
และการบรรเทาความเหน็ดเหนื่อย เป็นผู้มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี
ในคราวที่มนุษย์มีอายุร้อยปี ไปตลอดร้อยปี ไม่ทันถึงที่สุดแห่งโลก
ได้ทำกาละเสียในระหว่าง ทีเดียว

น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า สิ่งไม่เคยมีได้มีขึ้นพระเจ้าข้า
เท่าที่พระผู้มีพระภาคตรัสพระดำรัสนี้ว่า
ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย
ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ ในโอกาสใด เราไม่กล่าวโอกาสนั้น
ว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึงด้วยการไป เป็นอันตรัสดีแล้ว
 

พ . ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย
ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ ในโอกาสใด เราไม่กล่าวโอกาสนั้น
ว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึง ด้วยการไป

และเราย่อมไม่กล่าว การกระทำที่สุดแห่งทุกข์
เพราะไปไม่ถึงที่สุดแห่งโลก

แต่เราย่อมบัญญัติโลก เหตุเกิดแห่งโลก
ความดับแห่งโลก และปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งโลก
ในอัตภาพอันมีประมาณวาหนึ่ง มีสัญญาและมีใจนี้เท่านั้น ฯ

ในกาลไหนๆ
ที่สุดแห่งโลก อันใครๆ ไม่พึงถึงด้วยการไป
และการเปลื้องตน ให้พ้นจากทุกข์ ย่อมไม่มีเพราะไม่ถึงที่สุดแห่งโลก

เพราะฉะนั้นแล ท่านผู้รู้แจ้งโลกมีเมธาดี
ถึงที่สุดแห่งโลก มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
เป็นผู้มีบาป อันสงบ รู้ที่สุดแห่งโลกแล้ว
ย่อมไม่หวังโลกนี้ และ โลกหน้า ฯ

จบสูตร

พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ ( ภาษาไทย ) เล่มที่ ๒๑
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
หน้าที่ ๔๗ / ๒๔๐ หัวข้อที่ ๔๕