|    ปัพพโตปมคาถา 
 (หันทะ มะยัง ปัพพะโตปะมะคาถาโย ภะณามะ เส ฯ)
 
 ยะถาปิ เสลา วิปุลา นะภัง อาหัจจะ ปัพพะตา ,
 สะมันตา อะนุปะริเยยยุง นิปโปเถนตา จะตุททิสา
 - ภูเขาใหญ่แล้วด้วยศิลาจดท้องฟ้า, กลิ้งบดสัตว์มาโดยรอบ
 ทั้ง ๔ ทิศ แม้ฉันใด
 
 เอวัง ชะรา จะ มัจจุ จะ อะธิวัตตันติ ปาณิโน
 - ความแก่และความตายก็ฉันนั้น, ย่อมครอบงำสัตว์ทั้งหลาย
 
 ขัตติเย พ๎ราห๎มะเณ เวสเส สุทเท จัณฑาละ ปุกกุเส
 - คือพวกกษัตริย์ พวกพราหมณ์ พวกแพศย์ พวกศูทร,
 พวกจัณฑาล และคนเทมูลฝอย
  นะ กิญจิ ปะริวัชเชติ สัพพะเมวาภิมัททะติ- ไม่เว้นใครๆไว้เลยย่อมย่ำยีเสียสิ้น
  นะ ตัตถะ หัตถีนัง ภูมิ นะ ระถานัง นะ ปัตติยา- ณ ที่นั้นไม่มียุทธภูมิสำหรับพลช้างพลม้า, ไม่มียุทธภูมิสำหรับพลรถ,
 ไม่มียุทธภูมิสำหรับพลราบ
  นะ จาปิ มันตะยุทเธนะ สักกา เชตุง ธะเนนะ วา- และไม่อาจจะเอาชนะ, แม้ด้วยการรบด้วยมนต์,
 หรือด้วยทรัพย์
 
 ตัส๎มา หิ ปัณฑิโต โปโส สัมปัสสัง อัตถะมัตตะโน
 - เพราะฉะนั้นแล, บุรุษผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญา, เมื่อเล็งเห็น ประโยชน์ตน
 
 พุทเธ ธัมเม จะ สังเฆ จะ ธีโร สัทธัง นิเวสะเย
 - พึงตั้งศรัทธาไว้ในพระพุทธเจ้า, ในพระธรรมและในพระสงฆ์
 
 โย ธัมมะจารี กาเยนะ วาจายะ อุทะ เจตะสา
 - ผู้ใดมีปรกติประพฤติธรรมด้วยกาย, ด้วยวาจาหรือด้วยใจ
  อิเธวะ นัง ปะสังสันติ เปจจะ สัคเค ปะโมทะติ ฯ- บัณฑิตทั้งหลาย, ย่อมสรรเสริญผู้นั้นในโลกนี้นั่นเทียว,
 ผู้นั้นละโลกนี้ไป, ย่อมบันเทิงในสวรรค์ ฯ
  (สคาถ. สํ. ๑๕/๑๒๖/๔๑๕)  ที่มา  ปัพพโตปมคาถา หรือ ปัพพโตปมสูตร
                ปัพพโตปมคาถา (อีกสำนวนหนึ่ง) 
 (หันทะ มะยัง ปัพพะโตปะมะคาถาโย ภะณามะ เส ฯ)
 
 ยะถาปิ เสลา วิปุลา นะภัง อาหัจจะ ปัพพะตา ,
 สะมันตา อะนุปะริเยยยุง นิปโปเถนตา จะตุททิสา
 -ภูเขาหินล้วนสูงจดฟ้า, กลิ้งบดสัตว์มาใน ๔ ทิศ
 หมุนเวียนโดยรอบ แม้ฉันใด
 
 เอวัง ชะรา จะ มัจจุ จะ อะธิวัตตันติ ปาณิโน
 -ความแก่ด้วย, ความตายด้วย, ย่อมเป็นไปทับ,
 คือครอบงำสัตว์ทั้งหลายก็เหมือนกันฉะนั้น
 
 ขัตติเย พ๎ราห๎มะเณ เวสเส สุทเท จัณฑาละ ปุกกุเส
 -คือกษัตริย์และพราหมณ์, และชนพวกเวสสะพ่อค้า,
 และชนพวกสุททะพ่อครัว, และชนจัณฑาลพันทาง,
 และปุกกุสะคนเทหยากเยื่อ
  นะ กิญจิ ปะริวัชเชติ สัพพะเมวาภิมัททะติ-ความแก่ความตายไม่ละเว้นใครไปเลย, ย่อมย่ำยีครอบงำ
 ให้อยู่ในอำนาจทั้งสิ้น, เหมือนภูเขาหินล้วนกลิ้งบดสัตว์
 มาใน ๔ ทิศ ฉะนั้น
  นะ ตัตถะ หัตถีนัง ภูมิ นะ ระถานัง นะ ปัตติยา-พื้นดินที่จะยกทหาร ช้าง ม้า รถ พลเดินเท้า, ไปสู้ความแก่
 ความตายนั้นไม่มีเลย
  นะ จาปิ มันตะยุทเธนะ สักกา เชตุง ธะเนนะ วา-อนึ่ง บุคคลไม่อาจสู้รบชนะความแก่ความตายด้วยมนต์
 คาถาวิชาต่างๆ, และทรัพย์สมบัติมีวิญญาณและไม่มีวิญญาณได้
 
 ตัส๎มา หิ ปัณฑิโต โปโส สัมปัสสัง อัตถะมัตตะโน
 -เพราะเหตุนั้นผู้มีปัญญาหาประโยชน์แก่ตน, เมื่อจำทรง
 คิดเข้าใจแล้ว
 
 พุทเธ ธัมเม จะ สังเฆ จะ ธีโร สัทธัง นิเวสะเย
 -ผู้มีปัญญาพึงตั้งศรัทธา, ความเชื่อเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
 ท่านผู้รู้จักของจริง, และในพระธรรมคำสั่งสอนคือ ศีล
 สมาธิ ปัญญา, ในพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา
 ดีชอบแล้ว
 
 โย ธัมมะจารี กาเยนะ วาจายะ อุทะ เจตะสา
 -อนึ่ง บุคคลใดจำทรงทราบความแล้วปฏิบัติด้วยกายวาจาใจ
  อิเธวะ นัง ปะสังสันติ เปจจะ สัคเค ปะโมทะติ ฯ-ประชุมชนนักปราชญ์ย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นในโลกนี้,
 ผู้นั้นไปในโลกหน้าแล้ว ย่อมบันเทิงยินดีสุขสบายใจ
 |