|          ธัมมานุปัสสนานิวรณบรรพ
  (นำ) หันทะ มะยัง นิวะระณะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ
 (รับ) กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
 - ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ เป็นอย่างไรเล่า?
  อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
  ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ - พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
  ปัญจะสุ นีวะระเณสุ - คือ นิวรณ์ ๕ อย่าง
   กะกัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
  ปัญจะสุ นีวะระเณสุ- คือ นิวรณ์ ๕ เป็นอย่างไรเล่า?
  อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
   สันตัง วา อัชฌัตตัง กามะฉันทัง - เมื่อกามฉันท์ มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง กามะฉันโทติ ปะชานาติ - ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์ มีอยู่ภายในจิตของเรา
  อะสันตัง วา อัชฌัตตัง กามะฉันทัง - เมื่อกามฉันท์ ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง กามะฉันโทติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์ ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ กามะฉันทัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง เมื่อกามฉันท์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ กามะฉันทัสสะ ปะหานัง โหติ- เมื่อกามฉันท์ที่เกิด จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ กามะฉันทัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ - หรือกามฉันท์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
    สันตัง วา อัชฌัตตัง พะยาปาทัง - เมื่อพยาบาท มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง พะยาปาโทติ ปะชานาติ - ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาท มีอยู่ภายในจิตของเรา
  อะสันตัง วา อัชฌัตตัง พะยาปาทัง - เมื่อพยาบาท ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง พะยาปาโทติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาท ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ พะยาปาทัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง เมื่อพยาบาทที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
   ยะถา จะ อุปปันนัสสะ พะยาปาทัสสะ ปะหานัง โหติ- เมื่อพยาบาทที่เกิด จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ พะยาปาทัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ - หรือพยาบาทที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
    สันตัง วา อัชฌัตตัง ถีนะมิทธัง - เมื่อถีนมิทธะ มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง ถีนะมิทธันติ ปะชานาติ - ย่อมรู้ชัดว่า ถีนมิทธะ มีอยู่ภายในจิตของเรา
  อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ถีนะมิทธัง - เมื่อถีนมิทธะ ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง ถีนะมิทธันติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า ถีนมิทธะ ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
   ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง เมื่อถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ ปะหานัง โหติ- เมื่อถีนมิทธะที่เกิด จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ - หรือถีนมิทธะที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
   สันตัง วา อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจัง - เมื่ออุทธัจจะกุกกุจจะ มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจันติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า อุทธัจจะกุกกุจจะ มีอยู่ภายในจิตของเรา
   อะสันตัง วา อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจัง - เมื่ออุทธัจจะกุกกุจจะ ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจันติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า อุทธัจจะกุกกุจจะ ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ อุทธัจจะกุกกุจจัสสะ อุปปาโท โหติ - อนึ่ง เมื่ออุทธัจจะกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ อุทธัจจะกุกกุจจัสสะ ปะหานัง โหติ- เมื่ออุทธัจจะกุกกุจจะที่เกิด จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ อุทธัจจะกุกกุจจัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ- หรืออุทธัจจะกุกกุจจะที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
    สันตัง วา อัชฌัตตัง วิจิกิจฉัง - เมื่อวิจิกิจฉา มีอยู่ภายในจิต
  อัตถิ เม อัชฌัตตัง วิจิกิจฉันติ ปะชานาติ - ย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉา มีอยู่ภายในจิตของเรา
  อะสันตัง วา อัชฌัตตัง วิจิกิจฉัง - เมื่อวิจิกิจฉา ไม่มีอยู่ภายในจิต
  นัตถิ เม อัชฌัตตัง วิจิกิจฉันติ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉา ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ วิจิกิจฉัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่งเมื่อวิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ วิจิกิจฉัสสะ ปะหานัง โหติ- เมื่อวิจิกิจฉาที่เกิด จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ วิจิกิจฉัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ - หรือวิจิกิจฉาที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
   อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในธรรมบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในธรรมบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในธรรมบ้าง
  อัตถิ ธัมมันติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่
   ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
  ปัญจะสุ นีวะระเณสุ- คือ นิวรณ์ ๕ อยู่
    นิวรณ์  คือ ธรรมอันกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี ๕ อย่าง ๑. กามฉันท์ พอใจรักใคร่กามคุณ
 ๒. พยาบาท ปองร้ายผู้อื่น.
 ๓. ถีนมิทธะ ความที่จิตหดหู่และเคลิบเคลิ้ม.
 ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุ้งซ่านและรำคาญ.
 ๕. วิจิกิจฉา ลังเลไม่ตกลงได้ .
  องฺ . ปญฺจก. ๒๒/ ๗๒.  |