|      นวสีวถิกาบรรพ  (นำ) หันทะ มะยัง นะวะสีวะถิกาปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ  (รับ) ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระ
  สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ที่เขาทิ้งไว้ ในป่าช้า
  เอกาหะมะตัง วา ทะวีหะมะตัง วา ตีหะมะตัง วา- ตายแล้ววันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง
  อุทธุมาตะกัง วินีละกัง วิปุพพะกะชาตัง- ที่ขึ้นพองมีสีเขียว มีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
   เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้น
 ความเป็นอย่างนี้ไปได้
   อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง
  อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
 
 
  ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ - ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระ
  สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ที่เขาทิ้งไว้ ในป่าช้า
  กาเกหิ วา ขัชชะมานัง- อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง
   คิชเฌหิ วา ขัชชะมานัง- อันฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง
  กุละเลหิ วา ขัชชะมานัง- อันฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง
  สุวาเณหิ วา ขัชชะมานัง- อันหมู่สุนัขกัดกินอยู่บ้าง
  สิงคาเลหิ วา ขัชชะมานัง- อันหมู่สุนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่บ้าง
  วิวิเธหิ วา ปาณะกะชาเตหิ ขัชชะมานัง- อันหมู่สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยกัดกินอยู่บ้าง
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้น
 ความเป็นอย่างนี้ไปได้
 
 อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
 - ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง  วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง
  อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
   ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ - ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระ
  สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ที่เขาทิ้งไว้ ในป่าช้า
  อัฏฐิสังขะลิกัง- เป็นร่างกระดูก
  สะมังสะโลหิตัง- ยังมีเนื้อและเลือด
  นะหารุสัมพันธัง- ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
   โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้
   อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง
  อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
 
 
  ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ - ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระ
   สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ที่เขาทิ้งไว้ ในป่าช้า
  อัฏฐิสังขะลิกัง- เป็นร่างกระดูก
  นิมมังสะโลหิตะมักขิตัง- ปราศจากเนื้อ แต่ยังเปื้อนเลือดอยู่
  นะหารุสัมพันธัง- ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้
   อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง
  อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
    ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ - ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระ
  สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ที่เขาทิ้งไว้ ในป่าช้า
  อัฏฐิสังขะลิกัง- เป็นร่างกระดูก
  อะปะคะตะมังสะโลหิตัง- ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว
  นะหารุสัมพันธัง- ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
   อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้
   อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง
  อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
 
 
  ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ - ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระ
  สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ที่เขาทิ้งไว้ ในป่าช้า
   อัฏฐิกานิ- เป็นกระดูก
  อะปะคะตะนะหารุสัมพันธานิ- ปราศจากเส้นเอ็นผูกรัดแล้ว
  ทิสาวิทิสา วิกขิตตานิ- เรี่ยรายไปในทิศน้อยทิศใหญ่คือ
  อัญเญนะ หัตถัฏฐิกัง อัญเญนะ ปาทัฏฐิกัง- กระดูกมือไปทาง กระดูกเท้าไปทาง
  อัญเญนะ ชังฆัฏฐิกัง อัญเญนะ อูรัฏฐิกัง- กระดูกแข้งไปทาง กระดูกขาไปทาง
  อัญเญนะ กะกิฏฐิกัง อัญเญนะ ปิฏฐิกัณฏะกัฏฐิกัง- กระดูกสะเอวไปทาง กระดูกสันหลังไปทาง
  อัญเญนะ ผาสุกัฏฐิกัง อัญเญนะ อุรัฏฐิกัง- กระดูกซี่โครงไปทาง กระดูกหน้าอกไปทาง
  อัญเญนะ พาหุฏฐิกัง อัญเญนะ อังสัฏฐิกัง- กระดูกแขนไปทาง กระดูกไหล่ไปทาง
  อัญเญนะ คีวัฏฐิกัง อัญเญนะ หะนุฏฐิกัง- กระดูกคอไปทาง กระดูกคางไปทาง
  อัญเญนะ ทันตัฏฐิกัง อัญเญนะ สีสะกะฏาหัง- กระดูกฟันไปทาง กะโหลกศรีษะไปทาง
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้
   อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง
  อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
 
 ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ
 - เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
 
 อะนิสสิโต จะ วิหะระติ
 - เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
    ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ - ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
   เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระ
  สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ที่เขาทิ้งไว้ ในป่าช้า
  อัฏฐิกานิ เสตานิ สังขะวัณณุปะนิกานิ- เป็นกระดูกมีสีขาวเปรียบด้วยสีสังข์
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้
   อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง
  อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ - เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
 
 
  ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ - ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระ
  สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ที่เขาทิ้งไว้ ในป่าช้า
  อัฏฐิกานิ ปุญชะกิตานิ เตโรวัสสิกานิ- เป็นกระดูกกองเรี่ยรายอยู่ นานเกินปีหนึ่งขึ้นไป
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้
   อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง
  อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ - เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ ภิกขะเว  ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
    ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ - ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
  เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระ
  สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง- ที่เขาทิ้งไว้ ในป่าช้า
  อัฏฐิกานิ ปูตีนิ จุณณะกะชาตานิ- เป็นกระดูกผุเป็นจุณแล้ว
  โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า
  อะยัมปิ โข กาโย- ถึงร่างกายอันนี้เล่า
  เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้
  อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง
  อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
     [ อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศอานนท์ ! อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ-ไม่เป็นที่ชอบใจ
 เป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น
 ย่อมดับไปเร็วเหมือนการกระพริบตาของคน อุเบกขายังคงดำรงอยู่
  อานนท์  ! นี้แล เราเรียกว่า อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศในอริยวินัย...อุปริ. ม. ๑๔/๕๔๑/๘๕๖ ]
 |