|   อายตนบรรพ  (นำ) หันทะ มะยัง อายะตะนะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ  (รับ) ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง
  ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
  ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ- คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖
  กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
  ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ- คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖ เป็นอย่างไรเล่า?
  อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
   จักขุญจะ ปะชานาติ - ย่อมรู้จัก นัยน์ตา
  รูเป จะ ปะชานาติ - ย่อมรู้จัก รูป
  ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ, สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ - รู้จักนัยน์ตาและรูปทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิด แห่งสังโยชน์
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ - สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
    โสตัญจะ ปะชานาติ - ย่อมรู้จัก หู
  สัทเท จะ ปะชานาติ- ย่อมรู้จัก เสียง
  ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ, สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ - รู้จักหูและเสียงทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดแห่งสังโยชน์
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ- สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
    ฆานัญจะ ปะชานาติ - ย่อมรู้จัก จมูก
  คันเธ จะ ปะชานาติ- ย่อมรู้จัก กลิ่น
  ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ , สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ - รู้จักจมูกและกลิ่นทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดแห่งสังโยชน์
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ - สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
 
 
  ชิวหิญจะ ปะชานาติ - ย่อมรู้จัก ลิ้น
  ระเส จะ ปะชานาติ- ย่อมรู้จัก รส
  ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ , สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ - รู้จักลิ้นและรสทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดแห่งสังโยชน์
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ - สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
    กายัญจะ ปะชานาติ - ย่อมรู้จัก กาย
  โผฏฐัพเพ จะ ปะชานาติ- ย่อมรู้จัก สิ่งที่ถูกต้องด้วยกาย
  ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ, สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ - รู้จักกายและสิ่งที่ถูกต้องด้วยกายทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัย บังเกิดแห่งสังโยชน์
   ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ - สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
    มะนัญจะ ปะชานาติ - ย่อมรู้จัก ใจ
  ธัมเม จะ ปะชานาติ- ย่อมรู้จัก ธรรมารมณ์
   ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ, สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ - รู้จักใจและธรรมารมณ์ทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิด แห่งสังโยชน์
  ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ- สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด
  ตัญจะ ปะชานาติ- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
  อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายนอกบ้าง
  อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในธรรมบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในธรรมบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในธรรมบ้าง
  อัตถิ ธัมมันติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
  ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ- คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖ อยู่
 
 |