|      กายานุปัสสนาอานาปานบรรพ
  (นำ) หันทะ มะยัง อานาปานะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ  (รับ) กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ เป็นอย่างไรเล่า?
  อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
  อะรัญญะคะโต วา- ไปสู่ป่าก็ดี
  รุกขะมูละคะโต วา- ไปสู่โคนไม้ก็ดี
  สุญญาคาระโต วา- ไปสู่เรือนว่างก็ดี
  นิสีทะติ ปัลลังกัง อาภุชิต๎วา - นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ
  อุชุ กายัง ปะณิธายะ- ตั้งกายตรง
  ปะริมุขัง สะติง อุปัฏฐะเปต๎วา - ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า
  โส สะโต วา อัสสะสะติ- เธอมีสติ หายใจเข้า
  สะโต ปัสสะสะติ- มีสติ หายใจออก
  ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ - เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
  ทีฆัง วา ปัสสะสันโต ทีฆัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ- เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
  รัสสัง วา อัสสะสันโต รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ- เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
  รัสสัง วา ปัสสะสันโตรัสสัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ- เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น
  สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า
  สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก
  ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้ระงับ หายใจเข้า
  ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้ระงับ หายใจออก
   เสยยะถาปิ ภิกขะเว ทักโข ภะมะกาโร วา ภะมะการันเตวาสี วา- ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายช่างกลึง หรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน
  ทีฆัง วา อัญฉันโต ทีฆัง อัญฉามีติ ปะชานาติ- เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า เราชักเชือกกลึงยาว
  รัสสัง วา อัญฉันโต รัสสัง อัญฉามีติ ปะชานาติ- เมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักเชือกกลึงสั้น
  เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ- ภิกษุทั้งหลาย แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน
  ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ- เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
  ทีฆัง วา ปัสสะสันโต ทีฆัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ- เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
  รัสสัง วา อัสสะสันโต รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ- เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
  รัสสัง วา ปัสสะสันโต รัสสัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ- เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น
  สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า
  สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก
  ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้ระงับ หายใจเข้า
  ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้ระงับ หายใจออก
   อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง
  พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง
   อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง
  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง
  วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง
  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง
  อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
  ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
  อะนิสสิโต จะ วิหะระติ- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้
  นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
  เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ- ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
 |